ข้ออักเสบกับพิวรีน: กินผิด ชีวิตเปลี่ยน! ระวังเป็นเก๊าท์

สำหรับคนที่เป็นเก๊าท์ การควบคุมอาหารมีความสำคัญอย่างยิ่งเพื่อลดระดับกรดยูริกในเลือดและลดความเสี่ยงของการเกิดข้ออักเสบเฉียบพลันจากเก๊าท์ อาหารที่แนะนำและควรหลีกเลี่ยง ได้แก่
อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง
1. อาหารที่มีพิวรีนสูง
- เครื่องในสัตว์ (ตับ ไต หัวใจ)
- อาหารทะเลบางชนิด (หอย ปลาซาร์ดีน ปลาทู)
- เนื้อแดง (วัว หมู แกะ)
2. อาหารและเครื่องดื่มที่กระตุ้นการผลิตกรดยูริก
- เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (โดยเฉพาะเบียร์และไวน์แดง)
- น้ำหวานหรือเครื่องดื่มที่มีฟรุกโตสสูง
3. อาหารแปรรูปและมันเยิ้ม
- ของทอดและขนมขบเคี้ยว
- ไส้กรอก แฮม เบคอน
อาหารที่ควรทาน
1. ผักและผลไม้ที่มีพิวรีนต่ำ
- ผักใบเขียว เช่น ผักกาดหอม คะน้า
- ผลไม้ เช่น เชอร์รี่ กล้วย แอปเปิ้ล (ช่วยลดการอักเสบ)
2. โปรตีนจากพืช
เต้าหู้ ถั่วเหลือง ถั่วชนิดต่าง ๆ (ไม่มากเกินไป)
3. ธัญพืชเต็มเมล็ด
ข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ต ขนมปังโฮลวีต
4. ไขมันดี
น้ำมันมะกอก อะโวคาโด ถั่วเปลือกแข็ง
5. น้ำดื่ม
ควรดื่มน้ำเปล่าอย่างน้อย 2-3 ลิตรต่อวัน เพื่อช่วยขับกรดยูริก
เคล็ดลับเพิ่มเติม
ควบคุมน้ำหนัก: น้ำหนักที่เหมาะสมช่วยลดความเสี่ยงของการกำเริบของเก๊าท์
ลดเกลือ: ช่วยลดการอักเสบและการคั่งน้ำในร่างกาย
หลีกเลี่ยงการอดอาหาร: การอดอาหารอาจกระตุ้นการผลิตกรดยูริกในร่างกาย
หากมีอาการเก๊าท์กำเริบบ่อย ควรปรึกษาแพทย์เพื่อวางแผนการรักษาและควบคุมอาหารอย่างเหมาะสมค่ะ ????
ทำไมพิวรีนถึงมีผลกับการเกิดข้ออักเสบ
พิวรีน (Purine) เป็นสารที่พบได้ในเซลล์ของสิ่งมีชีวิตและอาหารหลายชนิด เมื่อร่างกายเผาผลาญพิวรีน จะผลิต กรดยูริก (Uric Acid) ซึ่งปกติแล้วกรดยูริกจะถูกขับออกทางปัสสาวะและอุจจาระ อย่างไรก็ตาม หากร่างกายผลิตกรดยูริกมากเกินไป หรือมีปัญหาในการขับกรดยูริกออกจากร่างกาย จะทำให้เกิด ภาวะกรดยูริกในเลือดสูง (Hyperuricemia) ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่ โรคเก๊าท์ และข้ออักเสบได้
ผลของพิวรีนต่อการเกิดข้ออักเสบ
1. การสะสมของกรดยูริกในข้อ
- เมื่อกรดยูริกในเลือดสูง จะเกิดการตกผลึกของกรดยูริกในรูปของผลึกโมโนโซเดียมยูเรต (Monosodium Urate Crystals)
- ผลึกนี้สะสมในข้อต่อ เช่น นิ้วเท้า ข้อเข่า หรือข้อศอก ทำให้เกิดการอักเสบและอาการปวดข้อเฉียบพลัน
2. กระตุ้นการอักเสบในร่างกาย
- ผลึกกรดยูริกกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้ตอบสนอง โดยเซลล์เม็ดเลือดขาวจะพยายามกำจัดผลึกเหล่านี้
- กระบวนการนี้ปล่อยสารเคมีที่ทำให้เกิดการอักเสบ เช่น ไซโตไคน์ (Cytokines) ส่งผลให้เกิดอาการบวมแดงและปวดรุนแรง
3. ความไวต่อการสะสมในผู้ที่มีความเสี่ยง
- ผู้ที่มีความผิดปกติในการกำจัดกรดยูริก เช่น โรคไต โรคเมตาบอลิก
- การบริโภคอาหารที่มีพิวรีนสูงเพิ่มภาระให้ร่างกายต้องขจัดกรดยูริกมากขึ้น
ทำไมการควบคุมพิวรีนจึงสำคัญ
การหลีกเลี่ยงอาหารที่มีพิวรีนสูงช่วยลดการผลิตกรดยูริกในร่างกาย เป็นการป้องกันการสะสมของผลึกกรดยูริกในข้อและลดความเสี่ยงของการอักเสบ รวมถึงช่วยควบคุมอาการเก๊าท์ให้ดีขึ้นค่ะ
โรคเก๊าท์สามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศทุกวัย แต่บางกลุ่มมีความเสี่ยงสูงกว่ากลุ่มอื่น เนื่องจากปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับพันธุกรรม การใช้ชีวิต และสุขภาพส่วนบุคคล ได้แก่:
กลุ่มคนที่เสี่ยงเป็นเก๊าท์
1. เพศและอายุ
- เพศชาย: มีโอกาสเป็นเก๊าท์มากกว่าผู้หญิง เพราะมีระดับกรดยูริกในเลือดสูงกว่า
- ผู้หญิงหลังวัยหมดประจำเดือน: ระดับกรดยูริกในเลือดเพิ่มสูงขึ้นหลังหมดประจำเดือน ทำให้เสี่ยงต่อโรคเก๊าท์
2. ผู้ที่มีประวัติครอบครัว
- หากมีสมาชิกในครอบครัวเป็นโรคเก๊าท์ โอกาสที่คนในครอบครัวจะเป็นก็สูงขึ้น
3. ผู้ที่มีพฤติกรรมการกินไม่เหมาะสม
- บริโภคอาหารที่มีพิวรีนสูง เช่น เนื้อแดง เครื่องในสัตว์ อาหารทะเล
- ดื่มแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะเบียร์และไวน์
- ดื่มเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลฟรุกโตสสูง เช่น น้ำอัดลม
4. ผู้ที่มีโรคประจำตัว
- โรคไต: การทำงานของไตที่ผิดปกติส่งผลให้กรดยูริกสะสมในร่างกาย
- โรคเบาหวาน และโรคอ้วน: เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะกรดยูริกในเลือดสูง
- ความดันโลหิตสูง: มักมีความสัมพันธ์กับโรคเก๊าท์
5. ผู้ที่รับประทานยาบางชนิด
- ยาขับปัสสาวะ (Diuretics): ใช้รักษาโรคความดันโลหิตสูง แต่ส่งผลให้ร่างกายขจัดกรดยูริกได้ยากขึ้น
- ยาแอสไพรินในปริมาณต่ำ
6. ผู้ที่ขาดน้ำหรือร่างกายขาดสมดุลน้ำ
- การดื่มน้ำน้อยอาจทำให้กรดยูริกในเลือดเข้มข้นขึ้น และตกผลึกในข้อต่อ
7. ผู้ที่มีพฤติกรรมเนือยนิ่ง (Sedentary Lifestyle)
- การขาดการเคลื่อนไหวร่างกายอาจเพิ่มโอกาสการสะสมของกรดยูริกในร่างกาย